เทรนดฺของ Wealth Management ในปี 2040 - Befin Academy

เทรนดฺของ Wealth Management ในปี 2040

อีก 20 ปี หน้าตาของวงการ Wealth Management จะเป็นอย่างไร

‍‍‍‍‍‍ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว ถ้าพูดถึงอาชีพ Financial Advisor คงแทบไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้ปี 2020 แล้ว ถ้าพูดถึงก็คงเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น มีหลายอย่างเปลี่ยนไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเชื่อได้เลยว่า อีก 20 ปีข้างหน้าก็ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนไปอีกอย่างแน่นอน

‍‍‍‍‍‍มีรายงานชิ้นหนึ่งซึ่งจัดทำโดย Boston Consulting Group (BCG) หนึ่งใน Big Three ของบริษัท Consultant ในอเมริกา (ระดับเดียวกับบริษัทอย่าง McKinsey) รายงานชิ้นนี้ BCG พยายามจะตอบคำถามว่า หน้าตาของธุรกิจ Wealth Management ในปี 2040 จะเป็นอย่างไร โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสำรวจจากบริษัทชั้นนำในวงการมากกว่า 40 บริษัท

‍‍‍‍‍‍งานวิจัยบอกเราว่า ตลาด Personal Wealth โตขึ้นกว่า 3 เท่าในเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จากมูลค่า 80 ล้านล้านเหรียญในปี 1999 เพิ่มเป็น 226 ล้านล้านเหรียญในปี 2019 แต่สิ่งที่โตขึ้นไม่ใช่มูลค่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความต้องการของผู้บริโภคก็ซับซ้อนมากขึ้นด้วย เมื่อผนวกรวมกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ยิ่งทำให้การที่จะอยู่รอดในอุตสาหกรรมนี้ในปี 2040 ยากขึ้นไปอีก

‍‍‍‍‍‍BCG บอกว่า สิ่งที่จะมาเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจ Wealth Management ในอนาคต (จริงๆ ก็กำลังเปลี่ยนอยู่) มี 3 ประการใหญ่ๆ ด้วยกันคือ หนึ่ง การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี (rapid digitalization) สอง ลูกค้ามีความรู้และอำนาจมากขึ้น และ สาม ตัวเลือกของลูกค้าที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

‍‍‍‍‍ถามว่าปัจจัยทั้ง 3 ส่งผลอย่างไรกับผู้ให้บริการ Wealth Management

‍‍‍‍‍‍ปัจจัยทั้ง 3 ข้อถือว่าส่งผลร่วมกันแบบแยกกันไม่ออก การมาถึงของอินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้คนเข้าถึงข้อมูลได้เท่าเทียมกัน และสามารถเปรียบเทียบระหว่างผู้ให้บริการเจ้าต่างๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้การแข่งขันสูงขึ้น มีการหั่นค่าธรรมเนียมกันมากขึ้น บริษัทอาจจะต้องขยายธุรกิจไปที่โมเดลบริการใหม่ๆ หรือผันตัวไปเล่นในเกมที่ Niche มากขึ้น ในขณะเดียวกัน Fintech ก็ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดได้ง่ายขึ้น มีแต่จะทำให้การแข่งขันยิ่งดุเดือดมากขึ้นไปอีก ยังไม่นับว่าถ้าผู้เล่นที่กำลังจะเข้ามาใหม่ เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้วทั้งฐานลูกค้า กำลังคน และเทคโนโลยี อย่างเช่นธนาคาร หรือบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google, Microsoft คนที่ทำงานในสาย Wealth Management ก็คงหายกันไปเยอะทีเดียว

‍‍‍‍‍‍อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแข่งขันที่ไม่รู้จะเอาชนะยังไง ก็ยังมีหลักการบางอย่างให้เรายึดเหนี่ยวจิตใจกันอยู่ ถึงเทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง แต่ฐานรากที่สำคัญก็ยังคงเป็น ‘Human Touch’ เหมือนเดิม ไม่ว่ายังไงลูกค้าก็จะเลือกคนที่เข้าใจปัญหาและแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ โจทย์สำคัญอยู่ที่ตรงนั้น ยกตัวอย่างเช่น คนยุคนี้ซึ่งเป็นยุค Gen X, Y, Z นิยามความร่ำรวย (Wealth) จะไม่ใช่แค่เรื่องเงินอีกต่อไป แต่ความร่ำรวยหมายถึง การมีอิสระได้ทำในสิ่งที่เป็นเป้าหมายของชีวิต ได้สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก ถ้าผู้ที่ให้บริการเข้าใจความต้องการในจุดนี้ และสามารถเสนอ Solution ให้กับลูกค้าได้ ลูกค้าก็จะเปิดใจและเลือกที่จะร่วมงานกับเรา ผู้ที่สามารถออกแบบแผนเฉพาะตัวให้กับลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อถือได้ให้กับลูกค้า ก็ยังคงเป็นผู้ที่จะชนะในอุตสาหกรรมนี้

‍‍‍‍‍‍สรุปได้ว่า เทรนด์อนาคตของอุตสาหกรรม Wealth Management ในอีก 20 ปีข้างหน้า คู่แข่งจะมากขึ้น การแข่งขันจะสูงขึ้นทั้งเรื่องการบริการและค่าธรรมเนียม บริษัทอาจจะต้องขยายธุรกิจเพื่อให้ครอบคลุม Service ที่หลากหลาย หรือไม่ก็ไปโฟกัสที่ตลาด Niche แทน ซึ่งจะให้คำปรึกษาที่เฉพาะทางกับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม นอกจากนี้ก็ต้องระวังว่าธนาคารหรือบริษัทเทคฯ ใหญ่ๆ อาจจะลงมาเล่นเกมในสนามนี้ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจก็ยังคงเป็นการพิจารณาว่า ผู้ให้บริการเจ้าไหนมีความลุ่มลึกในการทำความเข้าใจ Insight ของลูกค้าและสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของลูกค้าได้ คนที่ทำได้ก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้